ความพิเศษอย่างหนึ่งของไอเท็มใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับนักสะสม มีจำนวนจำกัดเพียง 77 คันในโลก ปอร์เช่ 911 จีที3 อาร์ เรนน์สปอร์ต (911 GT3 R rennsport) มาพร้อมตัวถังที่ได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่น ผสมผสานรูปลักษณ์อันทรงพลังของรถแข่งสมรรถนะสูงเข้ากับองค์ประกอบการออกแบบที่ทันสมัย ขณะเดียวกันยังสามารถย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตโดยไม่ต้องมีรูปทรงแบบย้อนยุค ด้านสมรรถนะเบื้องต้นของรุ่น GT3 ดั้งเดิม อาทิ แรงต้านของอากาศ และแรงกดตามหลักอากาศพลศาสตร์ จะยังคงไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ในฐานะรถแข่งพันธุ์แท้ ปอร์เช่ 911 จีที3 อาร์ เรนน์สปอร์ต (Porsche 911 GT3 R rennsport) ยังคงสืบทอดฟังก์ชั่นการใช้งานได้สมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังเติมเต็มอารมณ์ด้านการขับขี่และมีความน่าดึงดูดอย่างมาก
โทมัส เลาเดนบัค (Thomas Laudenbach) รองประธานฝ่ายมอเตอร์สปอร์ต กล่าวว่า “ปอร์เช่ 911 จีที3 อาร์ เรนน์สปอร์ต (Porsche 911 GT3 R rennsport) ใหม่ มอบประสบการณ์การขับขี่รถแข่งที่มีพื้นฐานมาจากรถแข่ง 911 แบบดั้งเดิม มันทำให้คุณตื่นเต้นทุกครั้งที่มอง การผสมผสานเทคโนโลยีมอเตอร์สปอร์ตที่ดีที่สุดเข้ากับภาษาการออกแบบที่เป็นแบบฉบับของปอร์เช่ ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่น 911 GT3 R rennsport สร้างประวัติศาสตร์ให้แบรนด์อีกครั้ง ด้วยข้อจำกัดเพียงหนึ่งเดียวคือ ลิมิเต็ดเอดิชั่นจำนวน 77 คัน เหมาะสำหรับบรรดาแฟนพันธุ์แท้ของปอร์เช่ที่เข้าชมงาน Rennsport Reunion 7 ใน Laguna Seca "
รถสปอร์ตสุดพิเศษคันนี้ได้รับการออกแบบโดย แกรนท์ ลาร์สัน (Grant Larson) และ ธอร์สเทน ไคลน์ (Thorsten Klein) จากทีมงาน สไตล์ ปอร์เช่ (Style Porsche) ด้าน แกรนท์ ลาร์สัน (Grant Larson) ให้ความเห็นว่า “911 GT3 R rennsport ออกแบบใหม่อย่างกว้างขวาง ภายใต้ผิวคาร์บอน เพื่อเป็นรถแข่งพันธุ์แท้ โดยใช้ 911 GT3 R รุ่นปัจจุบันของ 992 มาเป็นรุ่นพื้นฐาน และจะเข้ามาแทนที่ปอร์เช่ 935 รุ่นใหม่ โดยรุ่น 935 นี้มีพื้นฐานมาจากรุ่น 911 GT2 RS Clubsport โดย แกรนท์ ลาร์สัน (Grant Larson) ชาวอเมริกัน ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการพิเศษที่ สไตล์ ปอร์เช่ Style Porsche มาเป็นเวลากว่า 14 ปี เขาร่วมกับ ธอร์สเทน ไคลน์ (Thorsten Klein) รับผิดชอบรถยนต์ผลิตพิเศษ Porsche Exclusive Manufaktur ซึ่ง ธอร์สเทน ไคลน์ (Thorsten Klein กล่าวเสริมว่า "เราได้เพิ่มความกว้างและขยายความยาวให้กับรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นขึ้นเล็กน้อย แต่สามารถมองเห็นความแตกต่างได้ ขณะเดียวกันก็วางตำแหน่งล้อที่ออกแบบอย่างสวยงามให้ต่ำลง ทำให้ได้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบและทำให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น"
ดีไซน์โดดเด่นด้วยเสน่ห์อันทรงพลังและส่วนท้ายที่กว้างขวาง
โดยทั่วไปแล้ว เฉพาะฝากระโปรงหน้าและหลังคาเท่านั้นที่ถูกนำมาจากรุ่นมาตรฐาน GT3 R ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ของตัวถังได้รับการเปลี่ยนแปลง ทีมงานได้นำรูปทรงส่วนหน้าของรถที่ได้รับการปรับแต่งตามหลักอากาศพลศาสตร์มาปรับใช้ รวมถึงช่องอากาศเข้าและท่อระบายความร้อนด้วย นักออกแบบยังได้เน้นการมองเห็นในบริเวณรอบๆ ด้านข้างเพิ่มระยะเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการกระแทกจากภายนอก ซุ้มล้อหน้า ตอกย้ำรูปลักษณ์ที่ สง่างาม ลืมภาพกระจกมองข้างแบบเดิมๆ แทนที่ด้วยกระจกมองข้างใหม่ในรูปแบบดิจิทัล ประกอบด้วยกล้อง 3 ตัวที่รวมอยู่ในส่วนตัวถังด้านนอกของรถ และจอภาพของที่นั่งคนขับ
การดัดแปลงส่วนท้ายของรถแข่งมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ปีกหลังขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ปรับรับกับกระแสทางลม การออกแบบของรถชวนให้นึกถึงรถในตำนานอย่าง Brumos Porsche 935/77 ซึ่ง 3 นักแข่งในตำนานอย่าง Peter Gregg ชาวอเมริกัน ,Toine Hezemans ชาวดัตช์ และ Rolf Stommelen ชาวเยอรมัน ได้นำรถรุ่นนี้คว้าชัยชนะโดยรวมครั้งที่ 7 ให้กับ Porsche ในรายการ 24 Hours of Daytona ในปี 1978
ในส่วนท้ายรถ โดดเด่น สะกดทุกสายตา และตัวเลขดาวน์ฟอร์ซ สะท้อนให้เห็นว่า คุณสมบัติของสปอยเลอร์ใหม่สามารถรับแรงกดภายใต้ขีดจำกัดที่กำหนดไว้ตามมาตรฐาน การเพิ่มอุปกรณ์เสริมอีก 3 ตัว เหมาะสำหรับการใช้งานเสมือนรถแข่ง Porsche 962 Le Mans ดีไซน์แถบไฟ LED เชื่อมช่องว่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน การรวมตัวอักษรเรืองแสงคำว่า Porsche ไว้ด้วยกัน ช่วยสร้างลักษณะเฉพาะของส่วนท้ายโป่งหลังแบบเปิดขนาดใหญ่ที่กว้างขึ้น ต่อเนื่องด้วยแผ่นปิดช่องลม สิ่งเหล่านี้ช่วยให้มองเห็นองค์ประกอบทางเทคนิคได้อย่างชัดเจน รวมไปถุงระบบไอเสียที่มีท่อไอเสียคู่อยู่ตรงกลาง
การออกแบบของ 911 GT3 R rennsport ยังสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงด้านตกแต่งภายในเล็กน้อย สำหรับจอภาพจากกล้องภายนอกที่ติดตั้งอยู่บริเวณบังโคลน 2 ตัว จะผสมผสานเข้ากับการตกแต่งภายในได้อย่างกลมกลืน กราฟิกพิเศษสำหรับหน้าจอแสดงผลตรงกลางและหมายเลขรุ่นลิมิเต็ดบนแผงหน้าปัดได้ถูกดีไซน์รูปทรงแบบเดียวของรถแข่ง ในขณะที่ไฟส่องสว่างโดยรอบใช้รูปแบบของไฟหน้าหลัก คุณลักษณะด้านความปลอดภัยทั้งหมดเป็นไปตามมาตรฐาน FIA ที่บังคับใช้ โครงเหล็กเสริมความแข็งแรงของตัวถังรถ (roll cage) ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษติดตั้งที่บริเวณเบาะนั่งคนขับ เช่นเดียวกับ 911 GT3 R ที่มีการใช้งานทั่วโลกทำให้ "rennsport" ถูกจำกัดเป็นรถแข่งที่นั่งเดียว
ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของขอบล้อขนาด 18 นิ้วจาก BBS เป็นหนึ่งในการออกแบบ "รถแข่ง" ที่สะดุดตา ผสมผสานกับระบบเซ็นทรัลล็อคที่ใช้ในมาตรฐานการออกแบบระดับสูงของ Porsche Motorsport และการตกแต่งด้วยสี Dark Silver Metallic เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
แนวคิดสีใหม่พร้อมตัวเลือกการปรับแต่งเพิ่มเติม
ในแง่ของแนวคิดเรื่องสี โมเดล 911 GT3 R rennsport กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ โดยปอร์เช่ได้นำเสนอไอเท็มสำหรับนักสะสมรุ่นใหม่ด้วยตัวถังคาร์บอนบริสุทธิ์ สี Agate Grey Metallic และจะวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก โดยมีให้เลือก 7 สี อาทิเช่น Star Ruby และ Signal Orange เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการออกแบบสีพิเศษ 3 แบบ ซึ่งทำให้สามารถเลือกปรับแต่งเพิ่มเติมได้ โดยธอร์สเทน ไคลน์ (Thorsten Klein) ผู้จัดการโครงการสไตล์ปอร์เช่ของ GT3 R rennsport: ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "ปอร์เช่ได้รับการหล่อหลอมจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งรถ สิ่งนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเราในเวลาต่อมา แน่นอนว่าเราไม่ได้ต้องการที่จะผลิตให้เหมือนต้นฉบับแต่อย่างใด รวมไปถึงการลงสีแบบย้อนยุค แต่ตัวเลือกทั้ง 3 ที่เรานำเสนอคือการตีความใหม่จากความสมจริงและเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์ของแบรนด์อย่างมีศิลปะ"
"การออกแบบ Rennsport Reunion" มีสีพื้นฐานมาจากมอเตอร์สปอร์ตแบบดั้งเดิม ลวดลายบริเวณตัวถังภายนอก ถูกออกแบบให้มีความไหลลื่นในลักษณะที่ชวนให้นึกถึงการผสมผสานมุมโค้ง Corkscrew ในตำนานที่ Laguna Seca ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับเลือกให้เปิดตัว 911 GT3 R rennsport เป็นครั้งแรกของโลก การดีไซน์ตอกย้ำความโดดเด่นด้วยพื้นผิวคาร์บอนเคลือบใสกึ่งเงา พร้อมกับตัวเลือกสีโทนสีแดงและสีขาว "Flacht Design" สีที่ Porsche Motorsport มักเลือกใช้ พร้อมบังโคลนที่ดีไซน์โดยเฉพาะ และอีกหนึ่งตัวเลือกการออกที่สำคัญ คือ เฉดสีน้ำเงินต่างๆ มีแรงบันดาลใจมาจากไอคอนความเร็ว ซึ่งเน้นไปที่บริเวณความกว้างของตัวรถเป็นหลัก สำหรับคำว่า "Flacht" คือชื่อเขตที่ Porsche Development Center Weissach และเป็นที่ตั้งของแผนกมอเตอร์สปอร์ต
เครื่องยนต์รถแข่งที่ทรงพลังยิ่งขึ้น
โดยหลักการแล้ว 911 GT3 R rennsport มีพื้นฐานมาจากรถแข่ง GT3 ในปัจจุบันของปอร์เช่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับ 911 GT3 R ในเจเนอเรชั่นที่ 992 แล้ว รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นนี้ จะเหนือกว่าข้อกำหนดของการรับรองจากมอเตอร์สปอร์ตด้าน "ความสมดุลของสมรรถนะ" (Balance of Performance - BoP) โดยทีมพัฒนาสนับสนุน Dr.-Ing. แอนเดรียส ซิงเกอร์ (Andreas Singer) ได้เปลี่ยนเสถียรภาพเหล่านี้ให้กลายเป็นรถในสนามแข่งที่ดุดัน สะเทือนอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับแต่งทางเทคนิคมากมาย ผสมผสานการออกแบบที่น่าตื่นตา มาพร้อมพละกำลังของเครื่องยนต์ที่มากขึ้น เบาขึ้น และเสียงเครื่องยนต์คล้ายกับของ 911 RSR อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่ทำให้เป็นรถแข่งในสนามที่ร้อนแรงที่สุดเท่าที่ปอร์เช่ (Porsche) เคยผลิตมาสำหรับนักสะสม
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 6 สูบ 4.2 ลิตรของ 911 GT3 R รอบเครื่องยนต์ 9,400 รอบต่อนาที ให้พละกำลังสูงสุดสูงสุดถึง 456 กิโลวัตต์ (620 แรงม้า) นั่นหมายถึงกำลังมากถึง 148 แรงม้า ต่อปริมาตรความจุกระบอกสูบ 1 ลิตร ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นสถิติสำหรับเครื่องยนต์ของรถแข่ง GT ส่งผลให้มีกำลังมากกว่าหน่วยส่งกำลังแบบเดิมที่สามารถพัฒนาได้สูงสุดถึง 416 กิโลวัตต์ (565 แรงม้า) และขึ้นอยู่กับระดับ BoP ที่กำหนด สำหรับเครื่องยนต์ 4 วาล์วระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบหัวฉีดได้รับการออกแบบให้ทำงานด้วยเชื้อเพลิง E25 รวมไปถึงเชื้อเพลิงไบโอเอทานอล (bio-ethanol) และ reFuel นอกเหนือจากเชื้อเพลิง e-fuels ที่ผลิตขึ้นใหม่ ซึ่งทำให้ความเป็นไปได้ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน การลดลงของแนวโน้มการจุดระเบิดที่ไม่สมบูรณ์ โดยพวกเขาปูทางที่จะพัฒนาเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของจุดระเบิด เพื่อเพิ่มกำลังอัดในห้องเผาไหม้ทั้ง 6 ห้อง พร้อมลูกสูบและเพลา ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์ Rennsport GT3 R ให้สมรรถนะที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้เชื้อเพลิง E25 แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ยังสามารถทำงานโดยใช้เชื้อเพลิงธรรมดาได้เช่นกัน
ระบบส่งกำลังไปยังล้อหลัง รวมถึงระบบเกียร์ 6 สปีด มีต้นกำเนิดมาจาก 911 จีที3 อาร์ (911 GT3 R) โดยมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การเปลี่ยนเกียร์ควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ อัตราการส่งกำลังของเกียร์เดินหน้าที่เกียร์ 4, 5 และ 6 สอดคล้องกับการตั้งค่า Daytona ของรถแข่ง GT3 ในเกียร์ 6 ด้วยความเร็วรอบเครื่องยนต์ 9,000 รอบต่อนาที ช่วยให้รถมีความเร็วสูงสุดที่สูงกว่าอัตราทดเกียร์ที่สั้นกว่าของ FIA ของ GT3 R ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สำหรับระบบเสียง เรียกได้ว่าเป็นเวอร์ชันเต็มรูปแบบ, ระบบไอเสียแบบรถแข่งพร้อมปลายท่อไอเสียคู่วางตำแหน่งอยู่ตรงกลางให้เสียงเครื่องยนต์ที่สมจริงและเข้าถึงอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ แต่จะมีเวอร์ชันที่เงียบกว่าอีก 2 เวอร์ชัน ที่ติดตั้งตัวเก็บเสียงและแคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์สำหรับสนามการแข่งขันที่มีข้อจำกัดเรื่องเสียงรบกวน
สำหรับโครงสร้างตัวถังนั้นยังคงเป็นพื้นฐานเดียวกับรถแข่ง GT3 โดยระบบส่งกำลังด้านหน้าซึ่งประกอบไปด้วยโครงสร้างกันสะเทือนแบบปีกนกคู่ที่ล้ำสมัย เพื่อทำหน้าที่บังคับล้อ มาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิงค์ด้านหลัง โช๊คอัพแบบปรับได้ 5 รูปแบบ Porsc he Motorsport ส่งมอบ 911 GT3 R rennsport ด้วยการตั้งค่าพื้นฐาน สำหรับการตั้งค่าระบบกันสะเทือนเพิ่มเติมสามารถทำได้โดยใช้แผ่น shims ที่จะสามารถช่วยการตั้งค่าอย่างละเอียดได้จากการใช้เวลาคำนวณ
อีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นจุดขาย คือยางรถแข่งที่มิชลินนำเสนอสำหรับลูกค้า GT3 R rennsport โดยเฉพาะ โดยยางเหล่านี้มีการปรับใช้กับดอกยางคอมปาวน์แบบใหม่เช่นกัน ซึ่งส่งผลลัพธ์ในการ warm-up และสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับมิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็ม เอส9 (S9M) นอกจากนี้การออกแบบยางที่ได้รับการพัฒนาเป็นพิเศษบนแก้มยาง สามารถผสมผสานกับรูปลักษณ์ของรถได้อย่างลงตัว
ระบบเบรกอะลูมิเนียม monobloc สำหรับรถแข่งจาก AP มาพร้อมผ้าเบรกแผ่นรองหลังไทเทเนียม โดยจะลดมวลน้ำหนักรถที่อยู่ใต้สปริงทั้งหมดลงประมาณ 1 กิโลกรัม สำหรับถังนิรภัย FT3.5 ใหม่ มาพร้อมองค์ประกอบเพื่อช่วยการลดน้ำหนักเช่นกัน มีความจุ 117 ลิตร เบากว่ารุ่นก่อนถึง 1 กิโลกรัม และในอนาคตยังสามารถนำไปใช้กับ 911 GT3 R ในการแข่งขันรายการต่างๆ ได้อีกด้วย คุณสมบัติที่ช่วยลดน้ำหนักอีกประการหนึ่งคือการกำจัดระบบปรับอากาศ การระบายอากาศสำหรับผู้ขับขี่ มาจากแนวคิดการระบายความร้อนเบาะนั่งของ 911 GT3 R โดยรวมแล้วนักพัฒนามีเป้าหมายที่จะลดน้ำหนักลงได้ 1,240 กิโลกรัมสำหรับ 911 GT3 R rennsport ซึ่งจะเทียบเท่ากับอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลัง 2.0 กก./PS